วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันนี้รู้สึกทำตัวแย่!!

วันนี้ก็เป็นอีกวันแล้วที่รู้สึกว่าทำตัวได้น่าเอาค้อนทุบหัวมาก (ตุ๊บๆ!!)
วันนี้ก็นั่งเรียน  @@ บอกว่าใครทำงานเสร็จแล้วก็พักอยากทำอะไรก็ทำ 
ขณะรอเพื่อนคนอื่นที่ยังไม่เสร็จ
เราก็จัดเลยจ้า..นิยายที่พกติดกระเป๋าไปด้วยทุกวัน(หนากว่าสมุดโน๊ตอีก) ยังไม่ได้เปิดอ่านเลย
@@ ที่รักเดินมา..อ่านอะไร  อ๊ากก>< ตอนนั้นหน้าม้านเลย..อายก็อาย นิยายรักเพ้อฝันซะด้วย!!
TOT
"อ่านอะไร @@ขอดูหน่อยสิ" หยิบมาอ่านพร้อมยื่นออกห่างๆ (@@สายตายาว)
"นิยายค่ะ@@" หัวเราะกลบเกลี่อน 
"เดี๋ยวเขียนคอนเส็ป แล้ว สรุปย่อมาส่ง@@ด้วยนะ" ทำหน้านิ่งๆ
"ค่ะ" ก้มลงไปจดในสมุด ยิกๆ
"สรุปว่าอ่านว่าได้อะไรจากที่อ่าน"
"ค่ะ"ก้มลงไปจดในสมุด ยิกๆ อีกครั้ง
"ไม่ต้องบอกมานะว่าอ่านแล้วสนุก เพลิดเพลิน" แล้วก็เดินผ่านไปแบบไม่แคร์ใคร!!
"ค่ะ" =="
เวลาผ่านไปสักพักเพื่อนๆเริ่มพูดกันมากขึ้น  @@ก็ให้นั่งหันหน้าเจ้าหากันเป็นวงกลม
@@ก็ขอหนังสือนิยายไปอีกครั้ง บอกว่าเราอ่านเรื่อง........... เพื่อนอ่านตอนที่@@ให้ทำงาน แต่เพื่อนเค้าทำเสร็จแล้วหล่ะ !! (@@พูดให้หนูรุ้สึกดีขึ้นใช่มั๊ยคะ แต่หนูว่า@@กำลังด่าหนูอยู่นะคะว่าไม่มีมารยาท แม้จะใช้คำพูดที่สุภาพก็ตามแต่)  เราก็เริ่มคิดในใจแล้วว่าทำไม@@ต้องเอานิยายที่เราอ่านไปพูดด้วย ตั้งใจพูดใส่เราใช่มั๊ย อันที่จริงเราก็โตพอจะรู้อยู่นะแต่เราก็ไม่ได้เอาไปอ่านตอนที่@@กำลังสอนหรือว่าให้ทำงานนิ ทำไมท่านต้องเอาไปยกตัวอย่างด้วย..รู้สึกแย่มากๆ และทำให้ไม่อยากเรียนวิชานี้เลย!! 

เพื่อนๆยังบอกว่าทำไม@@ต้องเอาไปพูดด้วย ..(เพื่อนกันก็ช่วยกัน ซะงั้น) อาจเป็นเพราะไม่ชอบวิชาแบบนี้ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เพราะให้มานั่งฟัง@@พูดอะไรก็ไม่รู้ไม่เห็นจะเกี่ยวกับชื่อวิชาเลย  งานที่ให้ทำในชั่วโมง (4 ชั่วโมง ก็ไม่เห็นจะได้อะไรเลย) เช่น ให้หาบทความมาแล้วก็สรุปใจความสำคัญ แล้วก็ส่ง ==" ไม่ได้ดูถูกนะคะว่า@@สอนเรื่องแบบนี้ แต่เดาได้ไม่ถูก ไม่รุ้จะเรียนไปในทิศทางใดมากกว่า หาบทความมาแบบไหนถึงจะดี  คำสั่ง@@ไม่ชัดเจนเลยค่ะ เหมือนไปนั่งให้หมดๆเวลาไป ไม่ได้รู้สึกว่าสนุกเลย แต่@@ดูมีความสุขมากๆเลยนะคะ ..ไม่รุ้ว่าจะทนเข้าเรียนได้ทุกคาบไหมนะ ถ้าเป็นแบบนี้ น่าเบื่อมาก วิชาที่ว่ายากยังน่าเรียนกว่าวิชานี้อีก ...

ไม่ใช่แค่วันนี้ที่@@เอานิยายที่หนูอ่านออกไปพูดนะคะ
วันอื่นๆหนูก็รู้สึกแย่ที่ต้องนั่งเรียนวิชาที่@@อยากสอนอะไรก็จับมาสอน 
เอาตัวเองเป็นกลางแบบนี้ ..แล้ว@@จะถามเราทำไมคะว่า 
"ทำ........................ได้มั๊ย" ทั้งห้องเงียบ
"ได้....งั้นก็ส่ง......................นะ" ถามเองแล้วก็ตอบเอง

หนูอยากเรียนอะไรที่แปลกใหม่กว่านี้ค่ะ 
เรื่องราวเก่านำมาเล่าใหม่ก็ขอให้ดึงดูดความน่าสนใจของหนูให้มากกว่าได้ไหมคะ (ตั้ง 4 ชั่วโมง)
ศาสตร์และศิลป์ในการสอนนั้นหนุเชื่อว่าท่าน@@มี แต่น่าจะนำออกมาใช้บ้าง
ทำให้เวลา ตั้งสี่ชั่วโมง ให้เป็น แค่สี่ชั่วโมงเอง...หนูขอได้ไหมคะ ^^
'
'
'
ปล. บทความนี้เป็นเพียงความรู้สึกหรือความเห็นส่วนตัวเท่านั้น ..
       มิได้ต้องการกล่าวหรือว่าให้ผู้ใดเสียหาย หรือเดือดร้อน..(ขอพื้นที่ระบายเล็กๆ)


วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

╯๐╰ ในวันที่ฉันเหงา


วันนี้ฝนตก (ตกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว)หนักมาก ฉันนั่งอยู่คนเดียว ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กที่ไม่มีอะไรเลย

มองไปทางซ้ายก็ตู้เสื้อผ้าไม่ใหญ่มากนัก  ถัดไปขวามือก็โต๊ะเขียนหนังสือที่มีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคที่ 

เปิดเพลงของ BIG BANG ค้างไว้ บนชั้นนั้นมีหนังสือนิยายหลากหลายอรรถรสรวมทั้งหนังสือการ์ตูน 

...แอบสงสัยว่าหนังสือเรียนไปไหน  หนังสือเรียนก็อยู่ในตู้ เพราะพื้นที่ไม่พอ(ยิ้มกลบเกลื่อน)

นี่ก็สามปีแล้วสินะที่เรามาได้มาอยู่ที่นี่แม้ว่าในแต่ละวันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยก็ตาม

ฉันยังคงอยุ๋คนเดียว บางครั้ง บางวัน บางเวลาจะมีเพื่อนๆ(มากกว่า) แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยุ่กับฉันเสมอ

"ความเหงา"ยังไงหล่ะ  ถึงภายนอกฉันพยายามที่จะทำตัวสบายๆ สดใส เหมือนไม่ได้คิดอะไร 

มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ได้พบเจอ แต่ภายในใจกลับรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวังเหลือเกิน

ฉันไม่ขอให้มีคนมารัก(แบบชู้สาว) ฉันมีความรู้สึกอาจจะแปลกไปบ้างว่าฉันไม่พร้อมที่จะมีใคร 

เพราะจากที่ได้ยิน ได้เห็น (คนรอบข้าง)  ไม่เห้นว่าจะมีความสุขตรงไหนเลย มีแต่ความทุกข์ ไม่

สบายใจ  คอยแต่กังวล ระแวงไปทั่ว ตามหึงหวง โทรตาม โทรเช็คอยู่นั่น  แต่ก็เข้าใจอยู่นะว่า 

"คิดถึง" "เป็นห่วง" "รัก" แต่บางทีก็มากเกินไป   คุยโทรศัพท์นาทีแรกๆก็ดีนะ ทางที่ดีไม่ควรเกิน 

สามสิบนาที (จากการที่ไม่ได้ตั้งใจนั่งไป)อ เพราะหลังจากนั้นจะเริ่มมีปากเสียงกัน ทะเลาะกัน 

ตัดสาย..ซึ่งเป็นแบบนี้แทบจะทุกวัน (ห้องข้างๆอย่างเราก็เบื่อเหลือเกิน) ถือเป็นมลพิษทางเสียง

มากๆ T______T (เราขี้บ่นจังวุ๊ย)..กลับดาวแม่ มา ๆ 

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

วันนี้วันเกิด

ขอบคุณพ่อกับแม่ที่ทำให้กระปุกได้เกิดมาในวันนี้ มีร่างกายแข็งแรง  สมบูรณ์(มาก) ทำให้ได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ มีความสุขในทุกๆวัน ขอบคุณพ่อแม่ที่เป็นกำลังใจ เป็นที่พึ่งให้เสมอ เป็นทุกๆสิ่ง เป็นทุกๆอย่างของลูกคนนี้  ขอบคุณพี้ดอย ไอ้อ้วนปูเป้น้องรัก ที่ทำให้ชีวิตนี้มีคุณค่า ทำให้มีความหวัง มีพลังมีความฝัน มีปลายทางที่ต้องไปให้ถึง ขอบคุณจริงๆ ..รักเสมอและตลอดไป

ขอบคุณพี่ๆ น้องๆ และผองเพื่อน ญาติสนิม มิตรสหายทุกๆคนที่ร่วมอวยพรวันเกิดให้นะคะ วันเกิดปีนี้ก็ขออวยพรให้ทุกๆคนประสบความสำเร็จ มีความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ทุกคนนะ คิดหรือหวังสิ่งใดก็ขอให้พยายามทำให้ได้ ใครที่สอบ จะสอบหรือว่ายังไม่สอบก็ขอให้พยายามให้เต็มที่ สู้ๆ และขอให้ได้ เกรด A เยอะๆนะคะ ..สาธุ
ปล.ขอมากเกินไปหรือป่าวน้า ^^ แอบโลภ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ขอให้ทุกๆคนมีความรักให้กันและกันตลอดไป =^__________^=

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

::ol- การจัดการเรียนรู้คอมฯ 4:30

สถานการณ์ :: โรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง...
     
        วันหนึ่งในวิชาคอมพิวเตอร์ (ช่วงชั้นที่ 1-2)  เมื่อโรงเรียนมีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ 4 เครื่อง แต่ นักเรียนมีทั้งหมด 30 คน จะมีวิธีการจัดการเรียนการสอนอย่างไร ให้เกิดประสิทธิ์ภาพสูงสูดแก่ผู้เรียน ??
^
^
^
ตอนนี้กำลังหาวิธีการ ..ใครมีข้อเสนอแนะดีๆบ้างคะ
ช่วยแนะนำด้วยนะคะ ^^

::ol- PCK:: คืออะไร

PCK ย่อมาจาก Pedagogical Content Knowledge :  เป็นความรู้เกี่ยวกับศาสตร์การสอนในเนื้อหาวิชา

        1. การที่ครูผู้สอนสามารถนำ...

                # ความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอน (Subject Matter Knowledge : SMK)

                # ความรู้วิชาครูทั่วไป (Pedagogical Knowledge)

               # ความรู้ในบริบทต่างๆ (Knowledge about Context)

            มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน

     2. แผนการสอนของครูจะต้องมีความยืดหยุ่นพอเพียงและปรับให้เข้ากับความสนใจ
         และความชำนาญพิเศษของผู้เรียน

     3. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามความสามารถของผู้เรียน

            # เน้นย้ำในสิ่งที่สำคัญ

            # สาธิตด้วยความชำนาญ

            # ให้โอกาสผู้เรียนในการปฏิบัติจริง

เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาทักษะและทัศนคติของผู้เรียน

เพื่อช่วยให้นักเรียนค้นพบตนเอง ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถไปสู่เป้าหมายได้ตามต้องการ

::ol- “เป็นครูต้องรู้ศาสตร์อย่างมีศิลป์”

วันนี้ก็ได้ฤกษ์งาม ยามดี ฮ่าๆๆๆ..คุณครูให้ข้อสอบมาหาคำตอบว่า คิดอย่างไรกับคำว่า "การสอนเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์"
ก่อนอื่นต้องขอบคุณพี่ google นะคะในการ Search  ข้อมูลครั้งนี้ หุๆ ท่องไปหลากหลาย ..ก็สรุปความรู้ได้ว่า...


ศาสตร์-->  วิชาความรู้
ศิลป์--> เป็นเทคนิคการสอนเป็นอย่างดี  ฝีมือในการจัดการให้ความสนใจด้านสังคม  อารมณ์และความรู้สึกมาเป็นองค์ประกอบ
             ในการตัดสินใจ

          ดังนั้น :: การสอนจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน มีเป้าหมายในการเรียนการสอน และการสอนนั้นจะประสบความสำเร็จได้ดีถ้าครูรู้จักใช้ศาสตร์(ความรู้วิชาการ/เนื้อหาวิชา)อย่างมีศิลป์ (เทคนิค/วิธีการสอน)


เพิ่มให้อีกหน่อยๆ ..
การสอนมีจุดประสงค์ให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
          ข้อนี้ต้องการเน้นที่เป้าหมายของการสอน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้ง3ด้าน ได้แก่
 ด้านความรู้ ความคิด หรือด้านพุทธิพิสัย กล่าวคือ ผู้เรียนเกิดความเจริญงอกงามทางสติปัญญาเกิดความพัฒนาจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ คิดไม่เป็นมาเป็นมีความรู้ความเข้าใจ มีความคิดและคิดเป็น เช่น จากการอ่านเขียนไม่ได้ไม่เป็น มาเป็นอ่านออกเขียนได้ แสดงความคิดเห็นได้ ตัดสินใจแก้ปัญหาได้ ประเมินค่าและวิจารณ์ได้ ฯลฯ

2  ด้านเจตคติหรือด้านจิตพิสัย เกี่ยวกับความรู้สึกเห็นคุณค่า ความดีความงาม ผู้เรียนเกิดการพัฒนาในด้านนี้ เช่น รู้สึกซาบซึ้งในบทกลอนที่ได้ฟังได้อ่าน เห็นคุณค่าของการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง เกิดการยอมรับที่จะช่วยกันรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี เห็นคุณค่าความสำคัญของการอนุรักษ์ป่าไม้ เป็นต้น

3  ด้านทักษะ หรือด้านทักษะพิสัย หมายถึง ความสามารถกระทำได้ ปฏิบัติได้ถูกต้องตามวัย เช่น สามารถว่ายน้ำได้ พิมพ์ดีดได้ ร้อยมาลัยได้ วาดภาพได้ โยนลูกบอลได้ ฟัง พูด อ่าน เขียนได้ ฯลฯ ผู้เรียนจะเกิดทักษะ ถ้าได้ปฏิบัติบ่อยๆ
           ดังนั้นในการสอนจึงต้อตั้งจุดประสงค์ให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทั้งสามด้าน มิใช่ด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว จึงจะถือเป็นการสอนที่สมบูรณ์ ตลอดจนให้ผู้เรียนสามารถนำประสบการณ์ใหม่ไปใช้ได้


อ้างอิง : อาภรณ์ ใจเที่ยง. หลักการสอน(ฉบับปรับปรุง).พิมพ์ครั้งที่ 3 .กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2546

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

::ol- "สิว...สิว" เป็นเรื่องธรรมชาติ

::ol- -lo::


"สิว" เป็นเรื่องธรรมชาติค่ะ คนส่วนใหญ่จะต้อง เคยเป็นสิวอย่างน้อยช่วงใดช่วงหนึ่งในชีวิต โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นอายุ ๒๐ ต้นๆ ทั้งหญิงและชาย บางคนก็เป็น ระยะสั้น บางคนก็เป็นอยู่นานหลายปี ผู้หญิงมักจะเป็นสิวอยู่นานมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงมักจะมีสิวใน ระยะมีประจำเดือน แต่สิวของผู้ชายมักจะมีอาการรุนแรง มากกว่าผู้หญิง คนขายยา คลินิกเสริมความงาม ได้กำไร กันมหาศาลจากยารักษาสิว ที่เห็นๆ กันอยู่มีหมอนั้นหมอนี้ออกมาโฆษณายารักษาสิวกันจนร่ำรวยไปตามกัน

ในเมื่อสิวเป็นเรื่องธรรมชาติ เราจะลดความทุกข์จากการเกิดสิวได้อย่างไร โดยไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปกับผลิตภัณฑ์นานาชนิด แล้วผลิตภัณฑ์พวกนี้รักษาได้ผลจริงมากน้อยแค่ไหน จะปฏิบัติได้ถูกต้อง ก็ต้องทำ ความเข้าใจที่มาที่ไปของสิวเสียก่อน

"สิว" เกิดขึ้นเพราะในช่วงวัยรุ่นมีระดับฮอร์โมนเพศมากขึ้น ทำให้ผิวหนังมีไขมันเพิ่มขึ้น เซลล์ผิวหนังที่ตายทุกวันจะไปอุดตามรูขุมขนของเรา ทำให้ไขมันสะสม กลายเป็นตุ่มอาจมีสีดำ ขาว และอาจมีการอักเสบเพราะการเจริญเติบโตของจุลชีพบนผิวหนังของเรา

"สิว" ไม่ได้เกิดขึ้นจากฝุ่นละออง ความสกปรก อาหาร การมีเพศสัมพันธ์ แต่ "สิว" จะรุนแรงขึ้นเมื่อใช้สบู่หรือขัดล้างใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งประเภทครีม หรืออะไรๆ ที่เขาโฆษณากันว่า ทำให้ผิวหน้าสะอาด ปราศจากสิวนั่นแหละ ตัวดีล่ะ หรือพยายามบีบหัวสิว ก็จะทำให้การอักเสบลุกลามลึกไปอีก ทำให้เกิดแผลเป็น น่าเกลียด หรือใช้พวกน้ำมันใส่ผมที่ จะซึมผ่านหนังศีรษะลงไปได้ นอกจากนี้ การเกิดโรคบางชนิด เช่น การมีถุงน้ำในรังไข่ของผู้หญิง หรือการใช้ยาบางชนิด ก็ทำให้เกิดสิวได้ด้วย

ก่อนจะไปเรื่องการป้องกันหรือทำอย่างไรให้สิวลดลงหรือไม่รุนแรง ขอกล่าวถึง ผลิตภัณฑ์รักษาสิวสักหน่อย ในตลาดมีผลิตภัณฑ์รักษาสิวมากมาย (อย่าลืมว่ามันเป็นสารเคมี มีประโยชน์และมีโทษ เพราะฉะนั้นต้องใช้อย่างฉลาด ถ้าใช้อย่างขาดความรู้แทนที่จะได้ประโยชน์กลับจะเพิ่มทุกข์เพราะผลข้างเคียงของสารเคมี)

ผลการวิจัยเท่าที่มีจนถึงปัจจุบัน พบว่าสารที่ชื่อ "Benzoyl peroxide และ Aluminium chlorhydroxide/sulphur" ได้ผลดีที่สุด เวลาเราจะไปซื้อก็ตรวจดูฉลากว่ามีสาร ๒ ชนิดนี้อยู่ หรือคุยกับเภสัชกร (ไม่ใช่หมอตี๋ที่มักจะชักชวน ให้เราลองใช้ยาโน่นยานี่ ถามเขาเลยว่า มีผลิตภัณฑ์ ตัวไหนบ้างที่มีเคมีภัณฑ์ ๒ ชนิดนี้อยู่ สำหรับเคมีภัณฑ์ที่มีวิตามินเอและ tea tree ไม่พบ ว่าช่วยเรื่องสิว และอาจเกิดผลข้างเคียงที่ทำให้มีปัญหา กับผิวหนังมากขึ้น

**[Benzoyl peroxide เป็นชนิดครีมหรือเจล 2.5% 5% 10% เมื่อทายาไว้บนผิวหนังปริมาณเชื้อและไขมันบนผิวหนังจะลดลง ยานี้จะมีระคายเคืองต่อผิวหนังจะทำให้ผิวหนังลอกหลุดเร็วขึ้น ทำให้ปริมาณหัวสิวลดลง ในระยะแรกของการใช้ยาอาจจะทำให้ผิวหนังแดงอักเสบจึงควรจะเริ่มใช้ยาในขนาดความเข็มข้นต่ำๆ ทาระยะเวลาสั้นเช่น 5-10 นาที แล้วล้างออก เมื่อผิวหนังทนต่อยาจึงเพิ่มความเข้มข้น และทาไว้นานขึ้นจนไม่ต้องล้างออก ทาวันละ 2 ครั้งเมื่อทาตามบริเวณลำตัวอาจจะทำให้สีเสื้อจางลง]**




Benzoyl peroxide face wash. Image source :Wikimedia commons


ถ้าใช้เคมีภัณฑ์ ๒ ตัวนี้แล้วไม่ดีขึ้น สิวแย่ลงหรือลุกลามไป ทุกข์มาก ก็ถึงเวลาควรไปปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ไม่ใช่คลินิกเสริมความงาม หมอจะให้ยาที่เรียกว่า retinoids ร่วมกับฮอร์โมน (เช่น ให้ ยาคุมกำเนิด) ซึ่งได้ผลมากน้อยต่างกันแต่ละคน และที่สำคัญคือ มันมีผลข้างเคียงเหมือนยาอื่นๆ จึงจะต้องใช้อย่างระมัดระวัง

ผลวิจัยเท่าที่พบ มียาชนิดเดียวที่อาจจะรักษาสิวได้ดีก็คือ isotretinoin (ในตลาดเรียกว่า Accutane หรือ Roaccutane) แต่จะสั่งได้เฉพาะแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น ที่เขียนชื่อยาเป็นภาษาอังกฤษให้ ก็เพื่อท่านจะจดไปให้ถูกต้อง และเวลาหมอสั่งยาให้ ก็ถามเขาด้วยว่าเป็นยาอะไร (ถามชื่อยาที่ไม่ใช่ชื่อทางการค้า ชื่อสามัญ คือบอกตัวยา ไม่ใช่ยี่ห้อ)

ผลข้างเคียงที่สำคัญที่สุด สำหรับยาชนิดนี้ก็คือ ห้ามใช้ระหว่างตั้งครรภ์เพราะอาจทำให้เด็กเกิดความพิการได้ เพราะฉะนั้นถ้าแต่งงานและ ไม่ได้คุมกำเนิด ก็ไม่แนะนำ ให้ใช้ ผลข้างเคียงที่พบบ่อยๆ คือ ทำให้ผิวแห้ง โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปาก บางคนอาจมีอาการซึมเศร้าตามมา แต่ก็อาจเป็นอาการซึมเศร้าเพราะทุกข์จากสิวก็ได้ 

วิธีที่ดีคือ ทำความเข้าใจว่า มันเป็นธรรมชาติ และเมื่อถึงระยะหนึ่งมันก็จะหายไปเอง ถ้าไม่ได้มีอาการมาก และลดความเครียดลง สิวก็จะลดลง ถ้าเครียดมาก สิวก็จะมากขึ้นและรุนแรงขึ้นด้วย

การคลายเครียดและทำใจยอมรับ เข้าใจมันก็จะช่วยให้สิวลดลงได้ โดยไม่ต้องใช้ยาอะไร ลองสังเกตถ้าตัวเรา หรือมีญาติเป็นวัยรุ่น ยิ่งเขาทุกข์กับสิวมาก สิวก็ยิ่งขึ้นมาเห่อใหญ่ ยิ่งบีบสิว ก็ยิ่งอักเสบ ตุ่มสิวใหญ่ขึ้น แดง มีหนอง ส่วนหนึ่งเพราะเรา ไม่เข้าใจและทุกข์ร้อนกับมันมากจนเครียด ซึ่งกระตุ้นการเกิดสิวเหมือนกัน

เคมีภัณฑ์และยารักษาสิว มีผลสำคัญที่พึงประสงค์ คือ เพื่อลดการขยายตัวและการอักเสบของสิว และไม่ทำให้เกิดแผลเป็นลุกลามไปมากนัก แต่ก็จะต้องไม่ใช้ใน เวลานาน เพราะจะเกิดผลข้างเคียงได้มากขึ้น นอกจากนี้ "การทำเลเซอร์" ที่กำลังฮิตกันอยู่ ก็ไม่มีงานวิจัยที่แสดงว่าได้ผลต่อการรักษาสิวจริงๆ

ขอจบเรื่องนี้แค่นี้ค่ะ เห็นไหมคะ ถ้าเรารู้จักสิวดีพอ รู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ รู้ว่าสิวเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดตอนไหน เกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไร เราก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้เคมีภัณฑ์หรือผลิตภัณฑ์ที่เขาโฆษณากันจนเสียเงินเสียทอง โดยที่มันไม่ได้ให้ผลชะงัดอย่างที่เขาโฆษณา กัน จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณา และการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างเกินความจำเป็น และถ้าเรามีความรู้ เวลาเราไปหาหมอ ก็สามารถพูดคุยปรึกษาหมอ ทำความเข้าใจ และร่วมตัดสินใจว่าเราจะใช้หรือไม่ใช้ยาที่หมอจะแนะนำให้ เราสามารถ ตัดสินใจได้โดยใช้ความรู้เบื้องต้นง่าย ๆ นี้


อ้างอิง : สิว สิว สิว ทุกข์ของวัยรุ่น

นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 309

เดือน-ปี : 01/2548

คอลัมน์ : พูดจาประสาหมอๆ

นักเขียนหมอชาวบ้าน : พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

::ol- ตะลิงปลิง

        วันนี้เปิดคอมฯไปเจอรูปตะลิงปิงที่ถ่ายรูปเก็บไว้ตอนกลับบ้าน ก็เลยว่าลองหาข้อมูลดูดีกว่า ว่าไอ้เจ้า "ตะลิงปลิง" เนืี่ย มีประโยชน์เป็นยังไงบ้าง เพราะรสชาติ เปี๊ยวจี๊ดถึงใจ..นึกถึงก็เปรี๊ยวปาก น้ำลายสอกันเลย (จิ้มกับกะปิ) ว๊าย!! ..ไม่ไหวแล้ว..


(ภาพถ่ายต้นตะลิงปลิงที่บ้าน ตอนที่โทรศัพท์ยังไม่เสีย T_______T! )

 เห็นแล้วก็เปรี๊ยวปาก  อยากกิน ฮ่าๆๆ
ก่อนอื่นมารู้จักที่มาที่ไปของตะลิงปลิงกันก่อนดีกว่า..ไปกันเลย!!!。◕‿◕。
v
v

ตะลิงปลิง  เป็นไม้ผลผลในวงศ์ Oxalidaceae เป็นพืชเขตร้อน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบชายฝั่งทะเลของบราซิล เป็นไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 15 เมตร ออกผลตามกิ่งก้านและลำต้นเป็นพวงแน่นและสวยงาม จึงเป็นที่นิยิมปลูกทั่วไป นอกจากนี้ผลยังสามารถใช้บริโภค ตะลิงปลิงเป็นพืชร่วมวงศ์กับมะเฟือง มีส่วนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ ผลมะเฟืองมีขนาดใหญ่กว่าผลตะลิงปลิง (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)






×÷·.·´¯`·)»ลักษณะทางพฤกษศาสตร์«(·´¯`·.·÷× ♫

 ตะลิงปลิงเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีกิ่งก้านสาขามาก เปราะหักง่าย เปลือกต้นมีสีชมพู ผิวเรียบมีขนนุ่มปกคลุมตามกิ่ง 
εїз  ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ก้านใบหนึ่งประกอบด้วยใบย่อย 11-37 ใบ กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาว 2-5 เซนติเมตร มีสีเขียวอ่อนมีขนนุ่มๆ ปกคลุมอยู่ ปลายคี่เรียงสลับกัน ใบย่อยรูปขอบขนาน ปลายเรียวแหลม 
εїз ช่อดอกเป็นกระจุกอยู่ตามลำต้น มีกลีบดิกสีแดงอมม่วง ขนาดประมาณ 1.5 เซนติเมตร ดอกมี 5 กลีบ และมีกลิ่นอ่อน ๆ ทยอยบานได้นาน 1-2 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับความดก เกสรกลางดอกมีสีเขียว 
εїз ผลรูปรี ป้อม ยาว 4-10 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ฉำ้น้ำ ปลายแหลม และเว้าเป็นพูตื้น ๆ 4 พู สีเขียวอมเหลือง เมื่อสุกเป็นสีเหลือง เนื้อเหลว ออกเป็นช่อห้อย รสเปรี้ยว เมล็ดแบน
       **  ผลมีรสเปรี้ยว เป็นที่นิยมเก็บผลอ่อนมากินกับกะปิ น้ำปลาหวาน เกลือ หรือนำมาทำส้มตำตะลิงปลิง หรือกินกับอาหารรสจัด หรือใช้เป็นเครื่องปรุงใส่ในอาหารที่ต้องการความเปรี้ยว เช่น แกงส้ม ต้มยำ เป็นต้น หรือจะนำมาแช่อิ่มก็ได้ หรือจะนำมาทำน้ำผลไม้ ซึ่งจะให้แคลอรีต่ำ มีวิตามินเอสูง แต่ไม่ควรกินติดต่อกันเป็นจำนวนมาก ๆ หรือเป็นระยะเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้เลือดตกตะกอนได้

×÷·.·´¯`·)» ...สรรพคุณ...«(·´¯`·.·÷× 


         ╰☆╮ ราก สรรพคุณแก้พิษร้อนใน กระหายน้ำ ฝาดสมาน บำรุงกระเพาะอาหาร แก้โลหิตออกตามกระเพาะอาหาร ลำไส้ ดับพิษร้อนของไข้ แก้ริดสีดวงทวาร แก้คัน แก้คางทูม แก้ไขข้ออักเสบ รักษาสิว รักษาซิลิส บรรเทาโรคเก๊าท์ บรรเทาการอักเสบของลำไส้ใหญ่
         ╰☆╮ ใบ สรรพคุณใช้พอกแก้คัน ใช้ภายในโดยนำมาต้มดื่มรักษาอาการอักเสบของลำไส้ใหญ่ รักษาซิฟิลิส แก้ไขข้ออักเสบ รักษาคางทูม รักษาสิว
        ╰☆╮  ดอก นำมาชงเป็นชา สรรพคุณแก้ไอ
        ╰☆╮  ผล สรรพคุณเจริญอาหาร บำรุงกระเพาะอาหาร ฝาดสมานและลดไข้ แก้เสมหะเหนียว ฟอกโลหิต ยาบำรุงแก้ปวดมดลูก แก้ไอ บรรเทาโรดริดสีดวงทวาร แก้ลักปิดลักเปิด


หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านทุกคนนะคะ ^^ 
คิดถึงบ้านจัง...•:*´¨`*:•. ♫~*
 ข้อมูลจาก :  วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี(2554) 





วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

.:: Difference of love


วันนี้ก็ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งนะ เป็นนิยายแนวหวานๆ กุ๊กกิ๊กน่ารัก เรื่องราวเป็นประมาณว่า พระเอก กะนางเอกเป็นแฟนกันมา 7 เจ็ดปีแล้ว รักกันโดยที่ทั้งคนแทบจะไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
ชาย  เรียน วิทย์-คณิตฯ (รอบคอบ เจ้าระเบียบจ๋า เนียบมาก ต้องตามกฎ)
หญิง เรียน ศิลป์-ภาษา (ง่ายๆ สบายๆ อินดี้ อย่ามาหวังอะไรมาก)

ตกลงเป็นแฟนกันในวันวาเลนไทน์ (โรแมนติกใช่มั๊ยหล่ะ) 555+++
ทั้งสองคนตกลงเป็นแฟนกันโดยที่ ชายต้องง้อ หญิงทุกครั้ง ต้องยอมเสมอแม้ตัวเองไม่ทำผิด
แม้นางเอกจะบอกว่า "เราเลิกกัน" พระเอกก็ยอมเพียงเพราะรัก เชื่อมั๊ยว่าตั้งแต่อ่านมาก็คืดว่าจะมีอยู่หรอผู้ชายแบบนี้ มีจริงๆหรอ หรือถ้าจะมีก็คงน้อยมากมั้ง เบื่อนางเอกอยู่นะงี่เง่าจริงๆเลย แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่ออิตาพระเอกเราก็ยอมคะ..(เชื่อเขาเลย) ...สิ่งสุดท้ายที่พระเอกขอนางเอก คืออะไรรู้มั๊ย??
.
.
.
.
เอ้าเฉลยให้ก็ได้ "ขอกอดครั้งสุดท้ายได้ไหม"..โอ๊ย!! พระเจ้า บูชาเขาเลย ^^(อิจฉา) 
แต่หนังสือเล่มนี้จบแฮปปี้ เอนดิ้งคะ อิอิ น่ารักมากๆด้วย
หนังสือเล่มนี้อ่านแล้วได้อะไรหลายๆอย่างนะ

เพราะผู้ชายและผู้หญิงมีความคิด มุมมองที่ต่างกัน "ต่างมมุมรัก"
บางครั้งเรื่องบางเรื่องของเขาที่คิดว่าไม่สำคัญกับมีความสำคัญมากสำหรับเธอ
บางโอกาสวันพิเศษที่ไม่สำคัญกับหนึ่ง แต่อีกหนึ่งคนมันคือวันที่สำคัญมาก...

ผู้ชายไม่ค่อยโรแมนติกหรือไม่ถึงขั้นติดลบกันเลย
เธอไม่ได้ต้องการการรักเพียงเปลี่ยนคนรักให้เป็นคนในแบบที่เธอเป็น
กับคนอื่นเราควรรู้จักโอนอ่นผ่อนปรนทั้งที่ใจความจริงแล้วเราควรแคร์กับคนที่รักมากที่สุด
และมันกลายเป็นหน้าที่หลักสำหรับ"แฟนกัน" ที่ เธองอน เขาง้อ ทั้งที่บางครั้งเขารู้สึกงงว่า'เราผิดตรงไหน'เธออยากให้เขาง้อ อย่างน้อยเธอก็รู้สึกว่าเธอยังมีค่าสำหรับเขาอยู่บ้าง...

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

.:: Don't look now


Far East Movement ft. Keri Hilson

Don't look now.

Lyrics


I saw you dancing on that speaker box, girl what's your name?
I see you texting on that bbm, can we exchange?
I got two glasses at my table, can I show you the way?
Tonight's the night to let it go, go, girl it's okay.

Yeah, I'm not looking for no strings, you're not looking for a ring
If you're ready for this fling, then meet me in the back.
I never knew it'd be like this, such an unexpected twist
started off with just a kiss, I don't know how to act.

(Keri Hilson)
Hey, uh, I know I promised you I'd take it slow
I know I swore on everything I own
But I can't resist, how's just one kiss?
But don't look now
You've got me going, I'm going, I'm gone.
Don't look now
You've got me going, I'm going, I'm gone
Don't look now
I can't resist, how's just one kiss?
Don't look now.

My heart is pumping like that bass before I pick you up
The way we stole each other's hearts we playing Stick em up
I take a shot of ciroc to get me in the zone now
She took a step out the door, from head to toe she's all "wow"

I'm not looking for no strings, you're not looking for a ring.
If you're ready for this fling, then meet me in the back.
I never knew it'd be like this, such an unexpected twist
started off with just a kiss, I don't know how to act.

(Keri Hilson)
Hey, uh, I know I promised you I'd take it slow
I know I swore on everything I own
But I can't resist, how's just one kiss?
But don't look now
You've got me going, I'm going, I'm gone.
Don't look now
You've got me going, I'm going, I'm gone
Don't look now
I can't resist, how's just one kiss?
Don't look now.

Somethin' 'bout this girl
she shakin' up my world
she got me doin' things I never did before.
Damn, there's somethin' 'bout this girl
she shakin' up my world
she got me out my zone, I'm losin' all control.
(x2)

(Keri Hilson)
Hey, uh, I know I promised you I'd take it slow
I know I swore on everything I own
But I can't resist, how's just one kiss?
But don't look now
You've got me going, I'm going, I'm gone.
Don't look now
You've got me going, I'm going, I'm gone
Don't look now
You've got me going, I'm going, I'm gone
Don't look now
You've got me going, I'm going, I'm gone
Don't look now.

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

::ol- 10 วิธี ทำให้สมองแจ่ม

อันดับที่ 10 นอนหลับอย่างเพียงพอ   ทำไม ละ
    >>การอดหลับอดนอน มันมีผลต่อระบบต่างๆในร่างกายของเรา โดยเฉพาะในส่วนของการรับรู้ ดังเช่น ความทรงจำ และ สมาธิ นอนไม่พอยังทำให้เกิดปรากฎการณ์ ที่เรียกว่า snowball effect แถมจะมีผลเรื้อรังอีกด้วยนะ!! ทำไง? เข้านอนให้ตรงเวลา ก่อนนอนก็อย่าแจ้นไปกินข้าว เล่นเกมส์ หรือ หาโน่นหานี่มาทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูหนาว พยายามเข้านอนแต่หัวค่ำ จะได้ตื่นขึ้นมารับรุ่งอรุณ ได้อย่างแจ่มใส เข้านอนแต่หัวค่ำจะช่วยให้คุณอารมณ์ดีและ กระปรี้กระเปร่าด้วยนะ จริงไหม!!  
  

อันดับที่ 9 ผ่อนคลาย ทำไมละ?
  >> ก็เพราะว่าความเครียดมีผลต่อด้านจิตใจ และลดประสิทธิภาพด้านความคิด ทำไง? พยายามทำอะไรที่เป็นการ relax เช่นการนั่งสมาธิ

อันดับที่ 8 ออกกำลังกาย ทำไม ละ?
  >>ออกกำลังกายที่เน้นการทำงานของหัวใจ จะทำให้่ช่วยให้ ระบบเผาผลาญพลังงานดีขึ้น และทำให้หัวใจไม่เสื่อมเร็วด้วย ทำไง? ไปออกกำลังกายไง เน้นการออกกำลังกายที่เน้นการทำงานของหัวใจ และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ 
  

อันดับที่ 7 กินเยอะๆ พวกผักสีเขียว ทำไม ละ?
  >> ผักสีเขียวหนะมีวิตามินสูง ทั้งยังมีแอนตี้ออกซิเด้นที่จะช่วยป้องกัน ความจำเสื่อม เช่น vitamin E,C,B มีอยู่เยอะในผักสีเขียว ดังนั้นกินเข้าไปโลด ดีทั้งนั้น ทำไง? กินผักผลไม้ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ ลองทำอาหารบำรุงสมองเช่นสลัดดูก็ได้

อันดับที่ 6 เข้าเรียน!! ทำไม ละ?
  >>ก็ความรู้คือพลังไงละ เคยได้ยินบ่? ทำไงดี? พยายามหาความรู้เข้าสมองให้เยอะๆ มีเรียนก็เข้าเรียน หุๆ แค่เพียงการ เทคคอร์สสักคอร์ส เพียงคอร์สเดียว ก็จะช่วยให้คุณได้ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแล้วแหล่ะ รู้มาก เก่งมาก ไม่ยาก ใช่ไหม....

 อันดับที่ 5 เล่นเกมส์พัฒนาสมอง ทำไม?
  >>เกมส์ด้านตรรกะ จะช่วยให้คุณได้ใช้งานสมอง ด้านซ้าย ช่วยพัฒนากระบวนการคิดอย่างมีเหตุมีผล และทำให้กระบวนการคิดด้านตรรกะดีขึ้น ทำไง? เดี๋ยวนี้มีเกมส์แนวนี้เยอะแยะ เช่นเกมส์อักษรไขว้ โซดูกุ หาซื้อสักเล่มก็ได้ หรือจะเล่นวีดีโอเกมส์ หรือเกมส์คอมฯ ที่มันเอาไว้ "พัฒนาสมอง" หรือไม่ก็หาเล่นเกมส์แนวนี้ออนไลน์ ก็ได้ 

อันดับที่ 4 อ่านมากเก่งมาก ทำไม?
  >>คงไม่มีใครจะปฎิเสธนะครับว่าการอ่านมีประโยชน์แค่ไหน เดี๋ยวนี้นิยายหลายเรื่อง ก็มีในรูปแบบดิจิตอล หรือหาอ่าน แบบออนไลน์ก็ได้ ทำไง? เลือกหนังสือมาสักเล่ม แล้วเริ่มอ่าน อ่านปกมันดูก่อนก็ได้ แล้วลองหาดูว่า เล่มไหนที่เราอยากอ่าน หาเจอแล้วก็อ่านมันเสีย   

อันดับที่ 3 หางานอดิเรกที่สร้างสรรค์ทำ ทำไม?
>>งานด้าน Creative จะพัฒนาสมองด้านขวา ในขณะที่ สมองด้านซ้ายจะเกี่ยวกับด้านความคิด ตรรกะต่างๆ พยายามใช้สมองทั้งสองด้าน แล้วสมองของคุณจะแจ่ม!! ทำไง? ใช้เวลาสักชั่วโมง เพื่อทำงานอดิเรกที่ creative เช่น วาดรูป แกะสลัก ถ่ายภาพ หรือแม้แต่ทำอาหาร ถ้าคุณไม่รู้จะทำไรดี ก็ลองหาไรทำเป็นกลุ่มดูสิ

อันดับที่ 2 เลิกบุหรี่! ทำไม?
   >>นอกจากการสูบบุหรี่จะทำร้ายคนอื่นแล้ว ควันบุหรี่นี่แหละทีเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณ ดูแก่ขึ้น และลดความสามารถในการจดจำ ทำไง? การเลิกบุหรี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก แต่มันก็ ทำได้นะครับ มีวิธีแนะนำหลายๆอย่างเลยเกี่ยวกับ การเลิกบุหรี่ ลด ละ เลิก ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ได้ผลดีทีเดียว
 
 อันดับที่ 1 เล่นเกมส์แนววางแผน ทำไม?
    >>การเล่นเกมส์ที่เกี่ยวกับการวางแผนจะช่วยให้คุณเพิ่ม ทักษะการคิดด้านการวางแผนและทำให้คุณรู้จัก วิธีแก้ปัญหาที่คล้ายๆกันได้ หากเจอปัญหาในชีวิตจริง ทำไง? เกมส์แนวนี้มีเยอะ ทั้งเกมส์กระดาน เช่น หมากรุก หรือวีดีโอเกมส์ ก็มีแนวนี้เยอะจะตาย เลือกสักเกมส์ที่คุณอยากเล่นดู หวังว่าบทความเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้รู้วิธีทำ 


::ol- Data Warehous คืออะไร?



::ol- OLTP คืออะไร


ระบบ OLTP (On-Line Transaction Processing)
  1 ความหมาย :: การประมวลผลธุรกรรมออนไลน์  
n  OLTP (Online Transaction Processing) เป็นระดับ (class) ของโปรแกรมที่อำนวยความสะดวก และจัดการtransaction-oriented application ตามปกติสำหรับการป้อนข้อมูล และดึง Transaction ในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง ในการผลิตบางที่มีการติดตั้งผลิตภัณฑ์ OLTP อย่างกว้างขวาง คือ IBM Customer Information Control System (CICS)
n  On-line Transaction Processing System (OLTP) เป็นระบบ ที่อำนวยในด้านความรวดเร็วทันใจในการบริการให้แก่ลูกค้า โดยเมื่อป้อนข้อมูลเข้าเครื่องแล้ว หน่วยประมวลผลกลาง จะทำการตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็ว
 จึงเป็นระบบที่แพร่หลายในธุรกิจที่เกี่ยวกับงานบริการมาก เช่น งานธนาคาร งานโรงแรม และงานธุรกิจสายการบิน เป็นต้น
  2ลักษณะงานการประมวลผลธุรกรรมออนไลน์
¨ ใช้อุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่สามารถเก็บข้อมูลลงในฐานข้อมูลของระบบคอมพิวเตอร์ได้ทันที
¨ การปรับค่าของข้อมูลให้เป็นปัจจุบันและการเพิ่มข้อมูลลงไปในฐานข้อมูล
¨ มีการแก้ไขข้อมูลพร้อมๆกันตลอดเวลา
¨ ถ้าหากอยากวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบ OLTP มักนิยมcopy ข้อมูลไปยังอีกเครื่อง เพราะถ้าหากทำในเครื่องปกติที่ทำงานอยู่จะทำให้การทำงานช้า

3ปัจจัยที่จะต้องคำนึงถึงในการจัดทำระบบ OLTP
        1) ขนาดและตำแหน่งของ rollback segment
        2) ดัชนี การจัดกลุ่ม และ การคำนวณตำแหน่งที่อยู่ (hashing)
        3) การออกแบบข้อมูลธุรกรรมให้เหมาะกับงานประยุกต์
        4) หน่วยเก็บและเนื้อที่ว่างสำหรับการเก็บข้อมูลใหม่
       5) ความเข้าใจลักษณะงานประยุกต์และการเขียนคำสั่งสำหรับค้นคืนข้อมูล
        6) การปรับปรุงสมรรถนะของระบบอย่างต่อเนื่อง
                ระบบ OLTP ที่พัฒนาขึ้นโดยใช้เทคนิคด้านฐานข้อมูลตามปกติมักจะไม่สามารถรับกับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายเป็นประจำทุกวันได้ การนำระบบเช่นนี้มาใช้จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดเสียหายขึ้น วิธีการแก้ไขก็คือการแยกฐานข้อมูลออกมาเป็นส่วน ๆ ให้เหมาะกับการใช้งาน
           ปัจจัยที่จะทำให้ได้ตามที่กล่าวนี้มีอยู่สามข้อคือ
                  1) จะต้องมีระบบจัดคำสั่งค้นคืนข้อมูลให้ทำงานได้รวดเร็วที่สุด (query optimization)
                  2) การจัดดัชนี จัดกลุ่มข้อมูล และ การคำนวณตำแหน่งที่อยู่ข้อมูล
                  3) การประมวลผลคำสั่งค้นคืนในแบบขนาน โดยเฉพาะเมื่อใช้หน่วยเก็บแบบ RAID

ประโยชน์ที่ได้รับของระบบ OLTP
        - เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ ลดเส้นทางการใช้กระดาษ
        - มีความรวดเร็ว การคาดการณ์ที่แม่นยำมากขึ้น
        - 
เก็บข้อมูลได้จำนวนมากและมีประสิทธิภาพ

ข้อเสียของระบบ OLTP
        - ระบบการทำธุรกรรมออนไลน์มักจะอ่อนแอมากขึ้นเพื่อโจมตีโดยตรงและเป็นการละเมิด ลิขสิทธิ์
            - 
เมื่อองค์กรเลือกที่จะพึ่งพา OLTPการดำเนินการสามารถได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหากระบบการทำธุรกรรมหรือฐานข้อมูลไม่สามารถใช้งานเนื่องจากการทุจริต ระบบข้อมูลล้มเหลวหรือปัญหาความไม่พร้อมของเครือข่าย 
        - ข้อมูลออนไลน์บางระบบต้องการการบำรุงรักษาแบบออฟไลน์ ซึ่งต่อไปจะมีผลกระทบต่อการวิเคราะห์ต้นทุนผลประโยชน์

ข้อเสนอแนะการออกแบบระบบ OLTP
        
- การออกแบบระบบ OLTP แบบนี้จำเป็นต้องหาทางให้ระบบสามารถทำงานได้ อย่างถูกต้องรวดเร็ว ตลอดเวลา เอื้ออำนวยให้ผู้ใช้จำนวนมากสามารถใช้ระบบได้พร้อมกัน อีกทั้งยังต้องสามารถแก้ไขฟื้นสภาพให้กลับดีดังเดิมได้หากเกิดความขัดข้องเสียหาย

ตัวอย่างการประมวลผลธุรกรรมออนไลน์
    ¨ ณ สนามบินแต่ละแห่งจะมีผู้โดยสารเข้ามารับบัตรที่นั่งของสายการบินต่างๆ เป็นจำนวนนับหมื่นๆ คน คอมพิวเตอร์ของสายการบินจะต้องตรวจสอบการสำรองที่นั่ง ต้องบันทึกเลขที่นั่งและเที่ยวบินรวมทั้งอาจจะต้องปรับเปลี่ยนโยกย้ายข้อมูลจากเที่ยวบินหนึ่งไปอีกเที่ยวบินหนึ่งได้ด้วย
     ¨ ในกรณีของศูนย์การค้า และ ซูเปอร์มาร์เก็ต จะมีการบันทึกเรคอร์ดการขายเพิ่มเข้าไปในฐานข้อมูลการขายตลอดเวลา รวมแล้ววันละเป็นหมื่นๆ รายการ 
    
¨ สำหรับความต้องการระบบฐานข้อมูลแบบกระจายอำนาจ OLTP  เช่น โปรแกรม brokering สามารถกระจายการประมวลผลธุรกรรมระหว่างคอมพิวเตอร์หลายบนเครือข่าย OLTP จะถูกรวม มักจะเป็นสถาปัตยกรรมบริการเชิง (SOA)และการบริการเว็บ
     ¨ ธนาคาร ( ATM)

::ol- คลังข้อมูลกับฐานข้อมูล

ความแตกต่างของคลังข้อมูลกับฐานข้อมูลที่ใช้ประจำวัน
               
1.  Consistency ทั้ง OLTP และ คลังข้อมูล ต่างก็ให้ความสำคัญในเรื่องข้อมูลควรจะมีความสอดคล้องกัน
        - สำหรับ 
OLTP ซึ่งมีการทำ transaction จำนวนมากๆสิ่งที่ต้องการคือการทำ transaction ให้ครบ ไม่มีการสูญหาย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นผู้ส่งและผู้รับจะต้องรับรู้และตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาว่าขณะนี้มีการทำ transaction เกิดขึ้นหรือไม่
        - สำหรับคลังข้อมูล จะไม่สนใจทำการทำ 
transaction แต่ละครั้ง แต่จะสนใจว่าการ load data ใหม่เข้ามานั้นทำสำเร็จหรือยัง และการ load data 
เข้ามาทั้งหมดนั้นถูกต้องหรือไม่

  2. Transaction 
          - สำหรับระบบ OLTP นั้น ในแต่ละวันอาจมีการทำ transaction มากมายซึ่งการทำ transaction แต่ละครั้งจะใช้ข้อมูลเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
          - สำหรับคลังข้อมูล แต่ละวันจะทำแค่เพียง 
1 transaction ซึ่ง transaction นี้อาจต้องใช้ข้อมูลเป็นจำนวนมากมาย
 3. Time Dimension 
          - สำหรับ 
OLTP นั้นจะทำงานอย่างรวดเร็วและทำ transaction อย่างสม่ำเสมอ สถานะของข้อมูลต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และความสัมพันธ์ระหว่างเอนติตี้ต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
          - สำหรับระบบคลังข้อมูลมักจะเก็บข้อมูลในอดีตเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ ดังนั้นข้อมูลจะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดวัน

             เป็นที่น่าสังเกตว่า ฐานข้อมูลประจำวัน ที่ต้องทำการ normalization ทั้งนี้เพราะในฐานข้อมูลประจำวัน ข้อมูลจำนวนมหาศาลมีการเปลี่ยนแปลงทำให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงทำให้ทันสมัย การออกแบบฐานข้อมูลประจำวันจึงต้องทำให้มีความซ้ำซ้อนหรือ redundancy น้อยที่สุด วิธีการที่จะทำให้ได้ตามจุดประสงค์คือการทำ normalization 
                สำหรับข้อมูลในคลังข้อมูลเป็นข้อมูลที่มีการกลั่นกรองมาแล้ว ใช้ในการวิเคราะห์ตอบคำถามของผู้บริหาร ประเด็นสำคัญจึงไม่อยู่ที่การทำให้ทันสมัย ทำให้ข้อมูลในคลังข้อมูลสามารถมีความซ้ำซ้อนได้ เพราะความซ้ำซ้อนมีข้อดีคือ การตอบคำถามและการออกรายงานสามารถทำได้รวดเร็ว เนื่องจากไม่ต้อง join หลายตาราง ดังนั้นในคลังข้อมูลจึงไม่มี่ความจำเป็นต้องทำการ normalization